top of page

Fai - Chula : Ped/Sleep medicine


เชื่อว่าทุกคนตอนนี้ทราบดีถึง

ข้อดีของการมาเรียนที่นี่

แต่ข้อเสียหลักเลยที่บางคนอาจจะมองข้ามไปก็คือการต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและเพื่อนที่ไทย การขาด connection จากอาจารย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพ

UTP: สวัสดีครับ แนะนำตัวหน่อยครับ

สวัสดีค่ะ ชื่อฝ้ายค่ะ ชื่อจริงชื่อ ภัสริน จันทร์สกุล ชื่อที่เพื่อนหรือคนสนิทที่นี่เรียกคือ Faye ค่ะ

เรียนจบแพทย์ จุฬาฯ รุ่น 59 ค่ะ (เข้าเรียนปี 46) แล้วก็มาต่อ Pediatric Residency ที่

ที่ Brooklyn, NY ปี 2013-2016 ค่ะ แล้วก็ต่อ Sleep Medicine Fellowship ที่ Tufts University, Boston, MA ค่ะ

ตอนนี้ทำงานอยู่ที่เมือง Modesto, California ค่ะ

UTP: ขออนุญาติเรียกฝ้ายนะครับ

ได้เลยค่ะ

UTP : ตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนครับ

ตอนนี้ทำงาน ตำแหน่ง Pediatrician อยู่ที่เมือง Modesto, CA ค่ะ บริษัทที่ทำอยู่เป็น outpatient clinic อย่าง

เดียวค่ะ

UTP: คนไข้ที่ดูตอนนี้เป็นแบบไหนครับ

เป็นคนไข้ outpatient เด็กทั่วไปค่ะตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี ทำpreventive care และก็ดูโรคทั่วไปค่ะ แต่ละวันก็ดูคนไข้ routine well child check, newborn exam, hospital follow-up แล้วก็ sick visit ค่ะ Goal จำนวนคนไข้ที่บริษัทตั้งไว้คือวันละ 26 คนต่อ patient contact time 9 ชม. แต่ก็มีวันที่ดูน้อยกว่าหรือมากกว่านี้นะคะ โดยเฉลี่ยก็ 22-30 คนต่อวันค่ะ

UTP: อยากทราบชีวิตประวันตั้งแต่เช้าถึงเย็น ในวันที่ทำงานและวันหยุดครับ

ที่ทำงานเป็น full-time อาทิตย์ละ 40 ชม. แต่เลือกทำเป็น 4 วันทำงาน วันละ 10 ชม. แต่ดูคนไข้จริงๆ วันละ 9 ชม. เพราะที่ทำงานให้ admin time 1ชม. ต่อวัน ซึ่งเอาไว้ทำ chart, check labs, review patient documents ต่างๆ ซึ่งทำที่บ้านหรือทำให้เสร็จระหว่างเวลาดูคนไข้ได้ค่ะ ตอนนี้ทำงานทุกวันจันทร์ อังคาร พุธและก็วันศุกร์ค่ะ ได้หยุดทุกวันพฤหัสและเสาร์อาทิตย์ มี home call (รับโทรศัพท์ตอบคำถามจากบ้าน เดือนละ 1-3 วัน)

เริ่มงานแปดโมงเช้าทำถึงห้าโมงกว่าๆค่ะ ปกติก็ออกจากบ้านตอนเจ็ดโมง carpool ผลัดกันขับรถกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่อยู่บ้านใกล้กันเพราะบ้านเราอยู่ห่างจากที่ทำงานไปเกือบหนึ่งชม.ค่ะ พอถึงที่ทำงานก็ดูคนไข้โลดเพราะ schedule ค่อนข้างแน่นค่ะ เขานัดคนไข้ให้เวลาคนละ 10-20 นาทีค่ะ ช่วงเช้าทำถึงเที่ยงกว่าๆ พักเที่ยงก็ทานข้าวกลางวันซึ่งปกติจะเตรียมจากบ้านช่วงวันหยุด แล้วก็เริ่มดูคนไข้ช่วงบ่ายตอนบ่ายโมงตรงจนถึงห้าโมงถึงห้าโมงครึ่งค่ะ เสร็จงานก็ขับรถกลับบ้านกัน พอถึงเมืองที่พักคือ Dublin, CA ส่วนใหญ่ก็จะไป gym ออกกำลังกาย แล้วค่อยกลับบ้านค่ะ

วันหยุดส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ เรื่อยๆ ทำกับข้าวบ้าง ไปทานข้าวนอกบ้านบ้าง ไปซ้อมกอล์ฟ แฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนแถวๆเมืองที่อยู่ หรือบางทีก็เข้าไปที่ SF บ้างค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะ YouTube, Netflix อะไรไป

UTP: ก่อนที่จะมาทำงานที่ California มีวิธีเลือกรัฐในการทำงานอย่าไรครับ

เลือกไม่ยากค่ะ เพราะเริ่มหางานค่อนข้าง late คือตอนเดือน November ก่อนเรียนจบ ซึ่งถือว่าช้ามากสำหรับ J1 waiver job แต่ก็โชคดีมากที่ยังมีงานที่ waive visa ได้เหลือแล้วก็ได้ไปสัมภาษณ์ทั้งหมดสามที่ ที่แรกเขาไม่รับเพราะมี better applicant ที่มีประสบการณ์แล้วสิบปี แล้วที่นี่ดูดีสุดจากทั้งหมดสองที่ก็เลยเลือกเลยค่ะ ไม่งั้นก็คือต้องกลับมาทำงานทีไทยค่ะ J

ล้อเล่นนะ จริงๆแล้วคือถือเป็น big decision อันนึงในชีวิตเลยค่ะ เพราะว่าไม่เคยอยู่ Northern California มาก่อนเลย แล้วตอนนั้นก็ไม่รู้จักใครเลยค่ะ คือถ้าย้ายมาก็ตัวคนเดียวเลย มันไม่เหมือนตอนย้ายมาเรียน เพราะเรารู้ว่ายังไม่เพื่อน co-residents มาร่วมชะตากรรมเดียวกับเรา แต่ตอนต้องตัดสินใจคือคิดว่าเรายังอยากลองทำงานที่นี่ต่อหลังเรียนจบ ก็เลยเลือกอยู่ที่นี่ต่อค่ะ

UTP: คิดว่าการทำงานในอเมริกาแตกต่างกับที่ไทยอย่างไรครับ

อืม... เรื่องลักษณะคนไข้ที่ต่างก็คือจะเป็นเรื่อง cultural เลยค่ะ เพราะเด็กวัยรุ่นที่นี่มีปัญหาเรื่อง bullying ปัญหากับที่บ้าน(พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเพราะต้องทำงาน) เรื่อง depression, anxiety อะไรแบบนี้เยอะมาก แต่คิดว่าเป็น geographical ด้วย เพราะเมืองที่ทำอยู่เป็น underserved คือคนไข้ก็จะอีกแบบนึงน่ะค่ะ เป็นคนชั้นทำงานค่ะ ส่วนใหญ่เป็น Hispanic แล้วก็แน่นอนเรื่องภาษาอังกฤษคือสำคัญมากในการสื่อสารกับคนไข้และเพื่อนร่วมงาน

เรื่องค่าตอบแทนนี่ตอบไม่ได้เหมือนกันนะคะ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานเป็น pediatrician ที่ไทย แต่คิดว่าถ้าเทียบจาก pay per hour ที่นี่มากกว่าแน่นอน แต่ถ้าทำงาน full-time ที่ไทย จำนวนชม.ทำงานอาจจะมากกว่าแต่รายได้หลัง taxes อะไรแล้วน่าจะไม่ต่างกันมากค่ะ เพราะเรื่อง taxes ที่นี่ก็สูงกว่าที่ไทยเยอะ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอะไรที่ก็สูงกว่าที่ไทยเยอะมากๆ พวกค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่ค่ะ

ส่วนเรื่อง work-life balance นี่ส่วนตัวคิดว่าแล้วแต่บุคคลมากกว่าสถานที่นะคะ คือคิดว่าถ้าหมอที่ทำงานที่ไทยอยากมีเวลาว่างก็น่าจะทำได้ แต่บางคนก็จะขยันรับงานอยู่เวรเพิ่มรายได้นอกเวลางานปกติกันใช่ไหมคะ ส่วนฝ้ายตอนนี้ทำงานได้แค่ที่กับบริษัทที่ sponsor visa เพราะติดเรื่องวีซ่าใช่ไหมคะ แต่ถ้าไม่ติดเรื่องวีซ่านี่คงหางานทำเพิ่มไปแล้ว สรุปว่าเรื่อง work-life balance นี่ขึ้นกับตัวบุคคลถ้าอยากมีอยู่ที่ไหนก็มีได้

แต่ว่าการอยู่ที่อเมริกาคิดว่ามีข้อได้เปรียบในเรื่อง activities นะคะ คือมี access หลากหลายกว่า เช่น skiing, snowboarding, hiking, surfing แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับสถานที่ด้วยค่ะ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้อยู่ที่ Northern California ซึ่งมี activity ให้ทำหลากหลายมากค่ะ

UTP: สุดท้ายนี้ มีอะไรจะฝากถึงน้องๆ ที่กำลังเข้าแมชบ้างครับ

ก็ขอให้โชคดีทุกคนนะคะ ตั้งใจ study USMLE กันมากๆ เพราะคะแนนสำคัญมากจริงๆ สำหรับ IMGs

ตั้งเป้าหมายแล้วทำ timeline ให้ดี แล้ว stick with the plan ตั้งใจทำให้เต็มที่จะได้ไม่เสียดายทีหลังค่ะ การได้มาเรียนต่อที่นี่เชื่อว่าเป็นบุญทำกรรมแต่งเหมือนกันนะ คือบางส่วนก็ได้ถูกกำหนดมาแล้วจากเบื้องบน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมันที่ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เข้าใจ

อยากให้นึกว่าทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

เชื่อว่าทุกคนตอนนี้ทราบดีถึงข้อดีของการมาเรียนที่นี่

แต่ข้อเสียหลักเลยที่บางคนอาจจะมองข้ามไปก็คือการต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและเพื่อนที่ไทย การขาด connection จากอาจารย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพ

จากประสบการณ์เห็นเพื่อนๆ ที่เรียนต่อที่ไทยตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จเริ่มเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์แล้วหลายคน แต่บางคนที่เรียนจบจากที่อเมริกา กลับหางานที่ไทยได้ยากกว่าโดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์

เลยอยากให้มองถึงภาพรวมและความต้องการความชอบของเรา เพราะฉะนั้นถ้าผิดหวังไม่ได้มาเรียนก็ไม่ต้องเสียใจนะคะ คนเรามีโอกาสประสบความสำเร็จได้หลายทาง การมาเรียนต่อที่นี่ไม่ใช่ทางเดียวค่ะ สู้ๆนะคะ


RECENT POSTS:
SEARCH BY TAGS:
No tags yet.
bottom of page