top of page

เพียว - ศิริราช 119 Internal Medicine

"สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมากกกกก

คือรู้สึกได้ว่าตัวเองโตขึ้นค่ะ

การอยู่เมืองนอกด้วยตัวเอง ทำ

ให้เราต้องบริหารจัดการชีวิตในทุกด้าน

การได้เจอคนทุกรูปแบบทุกประเภท

ทั้งที่ดีกับเรามากๆ และ vice versa

สรุปแล้วเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสุดๆ

เป็น fast track ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง"

Q: อยากให้แนะนำตัวหน่อยครับ

สวัสดีค่า ชื่อเพียว ค่ะ ชื่อจริงคือ เพราพะงา (อ่านว่า เพรา-พะ-งา) อุดมภาพ นะค้า จบจากศิริราช รุ่น 119 ปัจจุบันเป็น PGY-1 Internal Medicine อยู่ที่ University of Minnesota ค่ะ

Q: อยากให้อธิบายหน่อยครับว่าทุนเจ้าฟ้าคืออะไร น่าจะมีหลายคนไม่รู้จัก

ชื่อเต็มของทุนเจ้าฟ้าฯ คือ ทุนโครงการเยาวชนรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลค่ะ เป็นทุนจากมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งมีสมเด็จพระเทพฯเป็นองค์ประธาน

ในแต่ละปีจะมีการคัดเลือกนักศึกษาแพทย์จากทั่วประเทศ และจะมีผู้ได้รับพระราชทานทุนปีละ 5 คนค่ะ ผู้ได้รับคัดเลือกสามารถดำเนินโครงการไม่ว่าจะเป็นการทำวิจัย Basic Science, Clinical Research หรือจะเป็นการศึกษาดูงานระบบสาธารณสุขค่ะ จุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของทุนคือเพื่อสร้าง connection รวมไปถึงการส่งเสริม lifetime mentoring and networking ของทั้ง mentor และ mentee ค่ะ

Q: ที่ผ่านมาทำโปรเจคอะไรบ้างครับ

โปรเจคของหนูเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซี ผลงานที่ได้ตีพิมพ์ไปเป็นการศึกษาเกี่ยวกับอุบัติการณ์ของ advanced fibrosis and cirrhosis ในคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ในประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ (ได้ลงปก Journal of Hepatology ด้วยค่า) อันนี้ถือเป็นชิ้นโบว์แดง เพราะชิ้นอื่นยังคงถูก reject อยู่ค่ะ T^T

Q: ทำที่ในอเมริกาเลยหรอครับ ทำอยุ่นานไหมครับ

ทำที่ในอเมริกาเลยค่า อยู่ที่ Division of Gastroenterology and Hepatology, Stanford University จริงๆทุนให้แค่ 1 ปี แต่อาจารย์หาทุนให้อยู่ต่อ สุดท้ายก็เลยอยู่ที่นั่นไป 2 ปี กับ 8 เดือนค่ะ ระหว่างนั้นแพลนชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป จนตัดสินใจจะเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาค่ะ

ระหว่างที่อยู่ที่นั่นก็เลยเตรียมตัวสอบทั้ง Step 1, 2CS, และ 2CK ไปด้วย เหนื่อยมากๆๆๆๆ ทำได้ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นค่ะ

Q: คิดว่าประโยชน์ที่ได้จากทุนนี้ช่วยเรื่องการเข้าmatch อย่างไรครับ

เพียวมองว่าเรื่องทุนฯ กับการ match เป็นสองสิ่งที่ไม่ได้ผูกติดกัน แม้ว่าการได้ทุนฯ อาจจะช่วยในเรื่องแมช แต่ไม่อยาก

ให้คิดว่าทุนฯ เป็นบันไดสู่การแมช เพราะไม่จำเป็นว่าคนที่ได้ทุนฯทุกคนที่จะต้องมาแมช และคนที่ตัดสินใจจะแมชก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ได้ทุนฯค่ะ

การได้ทุนฯถือเป็นโอกาสในการหาประสบการณ์ใหม่ๆโดยเฉพาะด้านการทำวิจัย พัฒนาภาษา เรียนรู้ระบบสาธารณสุขในประเทศต่างๆค่ะ สำหรับ connection และ letter of recommendation ถือเป็นผลพลอยได้มากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วการ match ก็มีวิธีการคัดเลือกแบบเดียวกันหมด ไม่ได้ขึ้นกับ mentor ของเราเพียงผู้เดียว

อยากให้เล่าชีวิตช่วงที่อยู่อเมริกาหน่อยครับ ทั้งเรื่องงานแล้วเรื่องอื่นๆทั่วๆไป

ขอเริ่มด้วยเรื่องงานก่อนแล้วกันนะคะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำงานวิจัยจริงๆจังๆเลย มาช่วงแรกก็ต้องปรับตัวเยอะมาก เพราะประสบการณ์และความรู้เราน้อยที่สุด โปรแกรมก็ไม่เคยใช้ เรื่องภาษาก็ด้วยค่ะ ที่เคยคิดว่าพูดภาษาอังกฤษได้ดี พอเอาเข้าจริงก็รู้ตัวเลยว่ายังห่างชั้นจากคำว่าดีไปอีกไกลมาก สรุปคือต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากโดยเฉพาะในช่วงสามเดือนแรกค่ะ หลังจากนั้นเพราะเราเริ่มปรับตัวได้ ชินกับระบบ โปรแกรมงานก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นค่ะ หัวข้องานวิจัยส่วนใหญ่จะมาจาก mentor ค่ะ แต่ไอเดียของเราจะถูกใส่ลงไปตลอดการทำงาน มี research meeting ทุกสัปดาห์ที่อาจารย์ไม่ได้ไปไหน ดังนั้นต้อง active และมีงานไป progress อยู่ตลอดค่ะ ช่วงหลังขออาจารย์เข้าไป observe ในคลินิก ก็ได้เปิดโลกทัศน์เข้าไปอีก สนุกไปอีกแบบ แต่ความเหนื่อยก็ทวีคูณค่ะ

การที่ได้ไปอยู่ในสถาบันระดับโลก อยู่ในที่ที่ world authority เดินชนกันไปมา ทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเรานี่เล็กมาก และยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะมากกกกกกกกกก อีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือ สิ่งแวดล้อมที่อเมริกา ทำให้เราเข้าใจว่า การที่เราไม่รู้ และกล้าที่จะยอมรับว่ายังไม่รู้ ไม่ได้เป็นความผิด ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกเรื่อง mindset แบบนี้ ทำให้เรากล้าที่จะลองสำรวจตัวเอง และไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ

ส่วนเรื่องอื่นๆทั่วไปถ้าอยากได้แบบลงรายละเอียดนี่มากมายมหาศาลเลยค่ะ มีทั้ง comedy สนุกสนาน ไปจน drama น้ำตาทะลัก จะขอเล่าโดยย่อๆแล้วกันนะค้า

การอยู่อเมริกาทำให้โลกของเรากว้างขึ้นมากกกกก ได้ทำความรู้จักกับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆสายอาชีพอื่นๆ ได้เรียนรู้ว่ามุมมอง ความคิดของเพื่อนๆต่างอาชีพ ได้อัพเดทข่าวสารนอกวงการ ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน เปิดมุมมองใหม่ๆให้ชีวิตค่ะ

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมากกกกก คือรู้สึกได้ว่าตัวเองโตขึ้นค่ะ ไม่ใช่แค่น้ำหนักนะคะ แต่เป็น maturity ค่ะ การอยู่เมืองนอกด้วยตัวเอง ทำให้เราต้องบริหารจัดการชีวิตในทุกด้าน (จากเดิมที่แทบไม่เคยทำอะไรเองมาก่อน) ตั้งแต่เรื่องการเงิน หุงหาข้าวปลาอาหาร รถยนต์แบตหมด ไปจนส้วมในบ้านตันค่ะ นอกจากนี้เรายังต้องเจอการเปลี่ยนแปลงที่

ท้าทายความเข้มแข็งของเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนในครอบครัวไม่สบาย การได้เจอคนทุกรูปแบบทุกประเภท ทั้งที่ดีกับเรามากๆ และ vice versa สรุปแล้วเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสุดๆ เป็น fast track ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งค่ะ

Q: ช่วงที่เข้าแมช อยากทราบว่านอกจากโปรไฟล์ที่ดีแล้วคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญอีก ในการประสบความสำเร็จ

การเตรียมตัว การหาข้อมูลและวางแผนล่วงหน้าที่ดี ทำให้มีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ เพียวกับเพื่อนๆก็หาข้อมูลจากในเพจ UTP ติดต่อถามประสบการณ์จากพี่พี่รุ่นก่อนก็ช่วยได้เยอะมากๆเลยค่ะ

Q: ใกล้จะเริ่มเรียนแล้วตื่นเต้นไหมครับ แล้วมีการเตรียมตัวอย่างไรกับการเริ่มเรียน

ตื่นเต้นมากๆ อยากเริ่มเรียนแล้วค่ะ เพราะไม่ได้ตรวจคนไข้ หรืออยู่เวรจริงๆจังๆมาเกือบสามปีแล้ว สำหรับการเตรียมตัวก่อนเรียน ตอนนี้ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ ยังมีงานวิจัยที่ต้องทำค้างอยู่ค่ะ 555 กลับมาไทยก็มาทบทวนความรู้กับเพื่อนๆที่กำลังจะเป็น resident 1 ด้วยกันบ้างค่ะ

Q: สุดท้ายนี้ถ้ามีน้องๆ ที่สนใจเข้าแมช หรือสนใจจะเป็น Candidate ทุนจะเตรียมตัวอย่างไร มีคำแนะนำยังไงบ้างครับ

ยินดีแนะนำมากๆเลยค่ะ

สำหรับคนที่สนใจจะเข้าแมช ก็อยากให้ลองตัดสินใจดูว่าเราอยากเรียนอะไร สาขาที่เราสนใจเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมา

แมช แล้วก็เริ่มหาข้อมูล วาง timeline ของตัวเองสำหรับการเตรียมตัวสอบ อยากให้เตรียมตัวให้ดีเพราะสอบได้ครั้งเดียวและคะแนนสำคัญมากๆนะคะ ถ้าหากยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ให้ลองดูว่าที่มหาวิทยาลัยมี MOU กับสถาบันการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ถ้ามีก็อยากให้สมัครมา elective เก็บไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลยส่วนงานวิจัยถ้ามีก็ดีถือเป็นกำไรในการเพิ่มโปรไฟล์ค่ะ

สำหรับคนที่สนใจจะเป็น candidate ทุนฯ ทุนนี้จะเริ่มรับสมัครตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 ค่ะ อยากน้องๆให้คิดไตร่ตรองให้แน่ใจให้ดี เพราะการขอรับทุน ก็เป็นการ commit ตัวเองในระดับนึงเลยทีเดียว ค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราอยากทำอะไรในอนาคต แล้วเริ่มหาอาจารย์ที่ปรึกษาในไทย ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษานี้เป็นคนที่สำคัญกับเรามากๆๆๆๆๆนะคะ อยากให้ลองคุยกับอาจารย์ดูเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่อาจารย์ท่านมักจะมีมุมมองมากกว่าเราอยู่แล้วค่ะ หลังจากนั้น ก็จะต้องเขียนโครงการ สอบภาษาอังกฤษ เตรียมนำเสนอโครงการและสอบสัมภาษณ์ต่อไปค่ะ

ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากในเว็บนี้นะคะ http://www.princemahidolaward.org/youth.th.php


RECENT POSTS:
SEARCH BY TAGS:
No tags yet.
bottom of page