top of page

Microbiology - ภัทร SI109


"ตอนสัมภาษณ์เวลาพูดให้สบตาคนพูด

ให้มองไปที่ iris ตลอดการถามตอบอันนี้ต้องฝึกจริงๆนะครับ

สายตาที่เราสบไป ต้อง ฉลาด

แต่ friendly at the same time แล้วก็ต้อง sincere ด้วย"

Q: แนะนำตัวเองหน่อยครับผม

A: พี่ภัทร ครับ ศิริราช รุ่น 109 พี่มาทำ resident ที่ Bassett Medical Center, Cooperstown, NY. แล้วพี่ไปทำ infectious disease fellowship ที่ Cedars-Sinai/UCLA in Los Angeles ครับ พอจบ Fellow ID แล้วพี่ไปทำ medical microbiology ที่ Mass General Hospital in Massachusetts.

พอจบแล้วตอนนี้พี่ ทำงาน Waiver Job ที่ Sumter, South Carolina ครับ

Q: การเรียน Microbiology จะช่วยเพิ่มโอกาสในอาชีพอย่างไรครับ

A: ตอบตามตรงนะครับ ตอนเรียนนี่ไม่ได้คิดอะไรว่า มันจะช่วยให้หางานง่ายขึ้นหรือว่าจะมีรายได้มากขึ้นอะไร ที่เรียนเพราะว่าอยากเรียน microbiology จริงๆ พอจบมาแล้ว การมี degree microbiology คงไม่ได้ช่วยมาก ถ้าจะหางานที่ มีทั้ง ID และ microbiology จริงๆ พี่ว่าน่าจะยากกว่าหางาน ID อย่างเดี่ยวนะครับ

ตอนเรียน microbiology fellowship พี่ว่ามันเพิ่มโอกาสให้เรามีเวลาทำ research มากขึ้นเพราะ program fellow ID ที่พี่เรียนเป็นแค่ program 2 ปีครับ

Q: งานที่ทำตอนนี้เป็นแบบไหนครับ

A: งานที่ทำตอนนี้เป็น private practice เต็มตัวครับ ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าเราไม่ชอบ private practice จริงๆ แต่ พี่ยังโชคดีที่เป็น ID คนเดียวในเมืองทำให้เรา manage เวลาของตัวเองได้ ค่อนข้างเป็น อิสระเรยที่เดียว นอกจากนี้ scope ของงานที่ทำก็ครอบคลุม ความรู้ general ID เช่น hospital consults, outpatient HIV/STDs and HepC, outpatint general ID. Hospital administration เช่น infection control, hospital epidemiology, antimicrobial stewardship and oversee microbiology lab พวกนี้พี่ก็ต้องทำ อันนี้จริงๆแล้ว ด้วยความที่ ทำ microbiology fellowship ทำให้พี่ comfortable กับพวก leadership, งาน admin มากๆ เพราะ ช่วงที่เป็น fellow ช่วงนั้นก็ได้ทำงานพวกนี้อยู่ แล้วทำให้เราเข้าใจระบบงานบริหาร ของ โรงพยาบาล

เคส ID consult, เป็นเคส ไม่ยาก ด้วยความที่ โรงพยาบาล เป็น community hospital ไม่ใช่ university referral center. HIV, HepC outpatient สนุกมาก ทำอยู่คนเดียวในเมือง มีคนไข้ 300 กว่าคน ชอบตรงที่ งบไม่อั้นในการ ดูแลคนไข้ HIV เพราะ clinic เป็น Ryan White funded.

Q: การทำงาน ID ที่อเมริกาแตกต่างกับที่ไทยด้านไหน อย่างไรบ้างครับ

A: เอาเป็นว่า “ทำงาน ใน อเมริกา ต่างจากไทย ยังไงละกันครับ “ เพราะพี่ไม่เคยทำงาน ID ในเมืองไทย งานในเมืองไทยก็เคยทำ แต่ ตอนเป้น อินเทิร์น กับ ตอนรับจ๊อบ คำถามนี้ตอบยากนะ

เอาเป็นว่านะ พี่ว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน สำหรับพี่แล้ว

พี่ว่าทำงานที่อเมริกา รายได้ เยอะกว่า ชั่วโมงการทำงานน้อยกว่าที่เมืองไทย

งาน เป็น ระบบมากกว่า

ดูคนไข้ง่ายกว่า เพราะมี เวลา ดูคนไข้ต่อคนมากกว่าแล้วก็ มี electronic medical record

โรค ID ก็ต่างแน่ๆครับ ถ้าใครชอบ tropical infectious disease ทำเมืองไทยก็คงสนุกกว่า

Q: การทำงานเป็น Lab director นั้นเหมือนว่าจะต้องติดต่อคนจำนวนมาก อยากทราบปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไข

A: อันนี้ต้องออกตัวก่อนว่า พี่ ไม่ได้ มีตำแหน่ง เป็น laboratory director นะครับ แต่พี่ oversee แค่ microbiology lab ซี่งเป็นส่วนหนึ่ง ของ ​Laboratory. ด้วยความที่รพเป็นรพ ขนาดเล็ก director ของ lab มีคนเดียวคือ pathologist แล้วโดยตำแหน่ง เค้าคุม ทั้ง chemistry, blood bank, micro, histo, pathology, serology and cytology. แต่ด้วยความ ที่เรา special trained ID and microbiology อะไรที่เป็นปัญหา ทาง micro ทั้ง techinical แล้ว clinical, microlab supervisor ก็จะ approach เรา แล้ว เราก็ trouble shooting กันไป

อุปสรรค สำหรับที่เล็กๆก็คงเป็นเรื่อง budget ถ้าอยากได้อะไร หรือ test ใหม่ๆ ก็ต้องรองบประจำปี แล้วทำเรืองเสนอขอ microlab คนไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่เพราะไ่ม่ใช่ส่วน ทำเงิน ให้ รพ

งานมันต้องติดต่อ กับคนหลายระดับ ซึ่งพี่ว่าสนุกดี ทำงาน กับ med tech, supervisor, งาน admin, sales reps, department of health etc ด้วยความที่ต้องติดต่อคนเยอะ เรื่อง communication คงสำคัญที่สุด แต่พี่ไม่มีปัญหาเรือ่งนั้นครับ Computer skill เช่น xcel, หรือว่า program ต่างๆ อันนี้สำคัญ ถ้า เก่ง ก็จะช่วยได้มาก

Q: สุดท้ายนี้มีเคล็ดลับ อะไรฝากถึงน้องๆ ที่กำลังตัดสินใจเข้าแมชบ้างครับ

A: ไม่มีเคล็ดลับอะไรมากอ่ะครับ ขั้นตอนกว่าจะเข้า แมช ได้มันช่างยืดยาว ไม่จบสิ้น สิ้นเปลืองงบประมาณมากมาย ก็แค่อย่าให้ท้อแล้วกันครับ ถ้าตั้งใจแล้วก็พยายามให้ได้ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญมาก การฟัง พูด สำคัญมากในการ สัมภาษณ์ พยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เวลาสัภาษณ์ ทำยังไงให้เค้า เลือกเรา ก่อนคนอื่น ความมั่นใจสำคัญมาก คนรอบข้างจะสัมผัสได้ถ้าเราขาดความมั่นใจ เวลาพูดให้สบตาคนพูด อ้นนี้พูดจริงๆนะครับ ให้มองไปที่ iris ตลอดการถามตอบอันนี้ต้องฝึกจริงๆนะครับ สายตาที่เราสบไป ต้อง ฉลาด แต่ friendly at the same time แล้วก็ต้อง sincere ด้วย ลองไปฝึกดูนะครับ (ดูในกระจกดูก่อน)

สุดท้ายขอให้น้องๆ สมหวัง ที่จะ แมช นะครับ ขอบคุณ admin ที่ให้เกียรติ พี่ มาขอสัมภาษณ์ ขอบคุณครับ


RECENT POSTS:
SEARCH BY TAGS:
No tags yet.
bottom of page